ย้อนกลับไปมอง ถึงการเติบโตของธุรกิจบริการ ที่ปี พ.ศ. 2393 ที่กรุงเทพฯ มีศูนย์กลางอยู่ที่ย่านคนจีน เรียกว่าตรอกสำเพ็ง ที่มีบ้านโคมเขียว ที่ไม่เหมือนในยุโรปที่นิยมให้เป็นโคมแดง ทั้งนี้เพราะมีที่มาจากภาษาจีน คำว่า “บ้านสีเขียว” ที่มีความหมายถึง “ซ่องโสเภณี” สมัยนั้นลูกค้าสถานบริการตรอกสำเพ็ง มีทั้งที่เป็นคนจีน และคนไทย
... ตรอกสำเพ็ง
รายงานในปี พ.ศ. 2332 ว่าในย่านตรอกสำเพ็ง มีโรงฝิ่นถึง 245 โรง, บ่อนพนัน 128 บ่อน, และ ซ่องโสเภณี 71 ซ่อง แสดงว่าในเวลานั้น ตรอกสำเพ็งเป็นย่านกลางคืนที่มีชื่อเสียงมาก
...โรงฝิ่นที่ตรอกสำเพ็ง
ห้าสิบปีหลังจากนั้นมา ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองเล็กน้อย ในกรุงเทพฯ มีสถานบริการที่มีตำนานอยู่หลายแห่ง แถวตรอกเต่า ถนนพระรามสี่ เช่น โรงยายฝาง, โรงแม่กลีบ, โรงแม่เต่า, ฯลฯ
ยายฝาง ถือว่าเป็นคนใจบุญสุนทาน และเป็นคนบริจาคเงินสร้างวัด คณิกาผล ส่วนยายกลีบก็สร้างวัด กันมาตุยาราม
นอกจากนี้ก็ยังมี ที่ผู้หญิงทำงานเช่นย่านสำเพ็งอีกหลายแห่ง เป็นต้นว่า ตรอกเสือเนียม, ตรอกโรงโคม, ตรอกโพธิ์, สะพานเหล็ก, สะพานถ่าน, ตรอกหม้อ, วรเอียด, ถนนดินสอ, วงเวียน 22 กรกฎา, ถนนรองเมือง, แยกมหานาค, โบ๊เบ๊, สะพานขาว, นางเลิ้ง,และบางลำพู
กรุงเทพฯยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สองนั้น เป็นที่รู้กันว่า มีผู้หญิงมากจากหลายเมือง เช่นหญิงเวียดนามหรือเขมร ที่ตรอกญวน หรือตรอกอันนัม, และยังมีพวกผู้หญิงจีน ญี่ปุ่น และจากต่างชาติอื่น ๆอีก ที่หากินอยู่ตามโรงแรมย่านสี่พระยา
ปี พ.ศ. 2485 ทหารญี่ปุ่นไปคัดเลือกแรงงานผู้หญิงจากตรอกสำเพ็ง เพือส่งไปสถานบำเรอทหารในมาเลเซีย เลือกได้แค่ 2 คน และถูกส่งไปทำงานในสถานบำเรอทหารญี่ปุ่นที่ค่ายในเขตุประเทศไทย ที่เป็นชายแดนกับมาเลเซีย
ปี พ.ศ. 2488 กองทัพพันธมิตร ก็เข้าประจำการในกรุงเทพ เวลานั้นมีสถานคาบาเรต์ อยู่ในกรุงเทพถึง 85 แห่ง แต่ละแห่งตั้งชื่อใหญ่โต เป็นต้นว่า เกรทเวิร์ลด์, แฮปปี้ เวิร์ลด์, วีนัสคลับ, และกรีนแลนเทิร์น ย่านที่มีสถานคาบาเรต์หนาแน่น ก็คือต้นถนนนเรศ (สี่พระยา) สำหรับอีกที่หนึ่งที่ขึ้นชื่อลือชาไม่แพ้กัน ก็คือ “เก้าชั้น” ที่เป็นคอมเพล็กส์สถานบริการใหญ่บนถนนเยาวราช ที่มีทั้ง โรงระบำเปลื้องผ้า (สตริ้พ คลับ), โรงเต้นรำ, โรงน้ำชา, ฯลฯ นอกจากนั้นกรุงเทพฯ ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงโลกของหนังปลุกสวาท ในยุคทศวรรษที่ 40... ถึงกับมีสตูดิโอถ่ายหนังเซ็กส์กันที่บ้านหม้อ โดยใช้ชั้นบนของอาคารย่านนั้น
ในตอนปลายทศวรรษที่ 40 สงครามกลางเมืองในประเทศจีน ได้ทำให้เกิดการอพยพของคนจีนขนานใหญ่ มายังประเทศใกล้เคียง ซึ่งก็รวมถึงประเทศไทยด้วย แน่นอนว่าในจำนวนผู้หนีภัยสงครามเหล่านั้น มีผู้หญิงอยู่ด้วยจำนวนมาก ผู้หญิงจีนอพยพเหล่านี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย แต่สามารถเปิดธุรกิจ หรือทำการค้าขายได้ ดังนั้นชาวจีนจำนวนหนึ่งจึงได้เปิดธุรกิจโรงน้ำชา ขึ้นมีบริการเสิร์ฟน้ำชา อาบน้ำ นวด และบริการทางเพศด้วย
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง นายอุดม พัฒน์พงษ์ศิริ เป็นนักศึกษาอยู่ในสหรัฐอเมริกา และได้เข้าร่วมกับขบวนการเสรีไทย และได้รับการฝึกการรบที่ค่ายฟอร์ตเบนนิ่ง ( Fort Benning ) ในมลรัฐจอร์เจีย ที่ต่อมาก็พัฒนาขึ้นเป็นสถานที่ใช้ฝึกพวกจารชนซีไอเอ
อุดม ถูกส่งกลับสู่ประเทศไทย ในปี 2488 เพื่อทำงานใต้ดิน แต่สงครามก็เลิกเสียก่อน
ในปี 2489 พ่อของนายอุดม ชาวจีนอพยพมาจากไหหนาน ที่ได้พระราชทานนามว่า “พัฒน์พงษพานิช” ก็ได้ซื้อที่ดิน ที่บัดนี้คือย่านถนนพัฒน์พงษ์ ในราคา 60,000 บาท (หรือ 2,400 ดอลล่าร์สหรัฐ ตามอัตราแลกเปลี่ยนเวลานั้น) ด้วยจุดประสงค์จะยกให้พี่น้อง และทำการตัดถนนผ่านที่ดินแปลงนั้น เพื่อเชื่อมถนนสีลมกับสุรวงศ์ขึ้น ถนนสายนี้ปัจจุบันก็คือ ถนนพัฒน์พงษ์ 1 ต่อมานายอุดม ที่ได้เข้ามาถือบังเหียนธุรกิจต่อจากพ่อ ก็พัฒนาที่ดินบริเวณถนนพัฒน์พงษ์ ให้เป็นย่านธุรกิจ และต่อมาก็กลายเป็นแหล่งไนท์คลับ
ในราวปี พ.ศ. 2500 มีย่านสถานบริการใหม่ ๆเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ อีกหลายที่ ที่มีชื่อเสียงรู้จักกัน ก็ได้แก่ แพร่งสรรพศาสตร์, โบสถ์พราหม, เสาชิงช้า,ซ่องตรอกไก่, ซ่องหน้าโรงหวย, สะพานถ่าน, ซ่องบางลำพู, ซ่องสะพานขาว, นางเลิ้ง, สุขุมวิทซอยกลาง, และซอยร่วมฤดี, ฯลฯ ยังมีพนักงานบริการอิสระ ที่อาศัยเรือแจวรับลูกค้า อยู่แถวสะพานเฉลิมลาภ ย่านประตูน้ำ
ในปีเดียวกันนั้น ที่ปรึกษาด้านสวัสดิการสังคมของสหประชาชาติ ได้เสนอรายงานเกี่ยวกับการค้าประเวณีในประเทศไทย 1905-1957 (พ.ศ.2448-2500) ในรายงานนั้นระบุว่า การค้าประเวณีในประเทศไทยเป็น “ธุรกิจขนาดใหญ่” ณ เวลานั้นมีผู้จดทะเบียนถึง 20,000 คน ซึ่งประเมินว่าเป็นจำนวนประมาณ 5% ของจำนวนตัวเลขผู้ค้าประเวณีจริง ๆ การประเมินนี้ ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่า มีหญิงโสเภณีประมาณ 5% ที่ถูกจับตามกฎหมายควบคุมกามโรค กับกฎหมายรบกวนในที่สาธารณะ
ปัจจุบันนี้ ปี 2550 รัฐบาลไทยประเมินว่ามีจำนวนพนักงานบริการ 200,000 คน ถ้าจำนวนนี้ถูกต้อง ก็หมายความว่า ในปีนี้ จำนวนผู้ค้าประเวณีในประเทศไทย เพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งหนึ่งของเมื่อ 50 ปีที่แล้ว (2500)
รายงานนั้นยังระบุอีกด้วยว่า ผู้หญิงที่สำรวจทั้งหมดเป็นคนไทย มีเพียงจำนวนน้อยที่ระบุว่าเป็นคนจีน หรือต่างชาติอื่น ๆ ในเวลานั้น อายุเฉลี่ยของผู้หญิงที่ทำงาน อยู่ในวัย 15-20 ปี ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ตามกฎหมายเวลานั้น แต่ในวันนี้เฉลี่ยนอายุผู้หญิงที่ทำงานจะอยู่ระหว่าง 20-26 และพนักงานแต่ละคนจะรับแขกโดยเฉลี่ยคืนละ 5 คน
ในปี 2509 เมื่อทหารจีไอ เริ่มเข้ามา อาร์แอนด์อาร์ (R&R: Rest and Recreation) ในกรุงเทพ ก็ทำให้แผนที่สถานบริการในกรุงเทพเปลี่ยนแปลงไปด้วย โรงแรม “ทางการ” ของกองทัพสหรัฐฯ เวลานั้นก็คือ โรงแรมเดอะแอมบาสเดอร์ บนถนนสุขุมวิท และมีที่เรียกว่า ศูนย์บัญชาการทหารหนุ่ม ก็คือโรงแรมวินเซอร์ ซอยสุขุมวิท 20 และโรงแรมราชา สุขุมวิทซอย 4
|